21 มกราคม 2560

OS/SF | Loneliness (MONMIN)





 #บังทันวีคลี่ 30 ; movie qoute


Rapmoster x Jimin
writer : Largomorpha





 




            ร่างสูงใส่แว่นกันแดดราคาแพงเดินตามทางเท้าริมถนน มีเพียงแสงไฟจากร้านรวงต่างๆยามค่ำคืนช่วยนำทาง ถามว่าทำไมดึกขนาดนี้ยังต้องใส่แว่นทึบอีกหรือ ถ้าคุณลองสังเกตดีๆจะพบว่าภายใต้แว่นตาดำนั้นมีคราบน้ำตาเปรอะอยู่รอบดวงตาคมคู่งาม
           

เป็นเวลาเกือบ 7 ปีที่คิมนัมจุนไม่ได้กลับมาเยือนบ้านเกิด เขามั่นใจมาโดยตลอดว่าทำใจได้แล้ว แต่เมื่อกลับมาพบกับสถานที่เดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ก็ทำให้อดคิดถึงคนตัวเล็กไม่ได้ แผลเก่าที่ดูเหมือนจะหายดีความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม เรื่องราวต่างๆในความทรงจำไหลทะลักเข้ามาราวกับว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
           

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ในวันที่เขาได้ทุนไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ ปาร์คจีมิน คนรักผู้ครอบครองหัวใจทั้งหมดทุกห้องของเขายังดีใจอย่างกับว่าเป็นตัวเองที่ได้ไป เพราะการได้ทุนถือเป็นใบเบิกทางในอนาคตที่ดี ทั้งคู่วาดภาพในอนาคตหลังจากที่นัมจุนกลับมา ว่าจะแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข นัมจุนคิดเสมอว่าจีมินต้องเข้าใจและรอตนเองได้ แต่นัมจุนคิดผิด เวลาผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งปีหลังจากที่เขาย้ายไปดูงานคนละซีกโลกกับประเทศบ้านเกิด ทั้งระยะทางและระยะเวลาที่ต่างกันพัดพาให้ทั้งคู่เหินห่าง จากที่เคยคุยกันทุกวัน เปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละวัน และนานขึ้นเรื่อยๆ กว่านัมจุนจะรู้ตัวอีกที จีมินก็ได้หายไปจากชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
           

นัมจุนคบกับจีมินมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย จนเข้ามหาลัยทั้งคู่ก็ยังหวานกันอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะเลิกกันเลย เขาไม่เคยจินตนาการถึงวันที่ไม่มีจีมิน นัมจุนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลืมคนรัก ไม่ว่าจะโหมงานหนักขึ้นจนไม่สบาย หรือหาใครบางคนเข้ามาแทนที่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้ร่างสูงคลายความเหงาที่เข้ามากัดกินหัวใจเขา จากนัมจุนที่เคยยิ้มง่าย ก็กลายเป็นคนนิ่งขึ้นตามกาลเวลา ท้ายที่สุดในเมื่อไม่มีคนรอให้เขากลับมา นัมจุนจึงตัดสินใจทำงานต่อที่นู่น
           

เวลาล่วงเลยมาหลายปี ไม่ว่าอย่างไรคนเราก็ต้องอยากกลับบ้าน นัมจุนคิดว่าแผลเก่าหายดีแล้วจึงเดินทางกลับประเทศเกาหลี แต่เมื่อมาถึงสนามบินจู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมา นัมจุนหลอกตัวเองว่าเป็นเพราะคิดถึงบ้าน แต่ความจริงแล้วเขาคิดถึงจีมินต่างหาก


ออกมานอกสบามบิน มองไปรอบๆมีแต่บรรยากาศของความคิดถึง น้อยคนนักที่ไม่มีคนมารับเช่นเขา รอบๆจึงมีแต่เสียงเจี้ยวจ้าวไถ่ถามความเป็นอยู่ในเมืองนอก บางคนโอบกอดกัน บางคนจูบกัน บางคนยิ้มให้กัน ก่อนนัมจุนจะออกเดินทางเองก็เคยคิดไว้ว่าวันที่เค้ากลับมาจีมินจะต้องมารอรับเขา
           

ในเมื่อไม่มีคนมารับ อีกทั้งพ่อกับแม่อยู่ต่างจังหวัด เขาจึงได้แต่หอบกระเป๋าใบใหญ่ดูทุรังทุเรไป โบกแท็กซี่กลับคอนโดที่ถูกทิ้งร้างไว้ถึง 7 ปี เมื่อลงจากแท็กซี่ นัมจุนก็รู้สึกว่าเหมือนมีภาพความทรงจำมาทับซ้อนกับความเป็นจริง ภาพที่จีมินเคยเดินเข้าที่พักพร้อมกับนัมจุนในทุกๆวัน ภาพที่นัมจุนเคยอุ้มจีมินกลับบ้านตอนจีมินเมาในวันจบการศึกษา นัมจุนเดินเข้าไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นห้องพัก ถึงแม้ว่าจะมีอะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไปจากตำแหน่งเดิมหรือแม้จะถูกทาสีใหม่ แต่ก็ไม่ทำให้นัมจุนเห็นภาพซ้อนของจีมินน้อยลง เดินไปถึงหน้าห้อง ค้นดูตำแหน่งเก็บกุญแจที่มีแต่เขากับจีมินรู้ กุญแจเขรอะฝุ่นทำให้นัมจุนรู้สึกจุกในอก นานเท่าไรแล้วที่ห้องนี้ไม่มีใครอีกคนก้าวเข้ามา เปิดประตูห้องเข้าไปก็ไม่ต่างจากที่นัมจุนคิดเอาไว้ ของส่วนใหญ่โลงหายไป พื้นที่โลงๆที่เหลือมีแต่คราบฝุ่นมาเกาะหนาเตอะ ห้องโล่งๆนี้ทำให้นัมจุนนึกถึงวันแรกที่มาดูห้องกับจีมิน ภาพที่จีมินดูตื่นเต้นกับห้องใหม่ คำพูดที่เขาชวนจีมินมาอยู่ด้วยกันหลังจากซื้อที่พัก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ช่วยกันเลือกมาตกแต่งห้อง ทุกการกระทำ ทุกประโยคสนทนายังก้องอยู่ในหัวของนัมจุน
           

หลังจากที่นัมจุนเห็นสภาพห้องของตัวเองแล้วคิดว่าคืนนี้ยังไงก็ทำความสะอาดไม่ทัน เข้าจึงต่อสายไปหาจองโฮซอก เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของนัมจุนที่ยังติดต่อกันอยู่บ่อยๆแม้ว่าจะห่างไกลกัน
           
โหล ขอไปนอนบ้านมึงคืนนึงดิ
อ่าว มึงถึงแล้วหรอ ทำไมไม่บอกให้กูไปรับ
            ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันกลับเองได้ แต่สภาพห้องนี่สิ ต้องทำความสะอาดยาวเลย
            เออๆ งั้นเดี๋ยวกูไปรับมึงหน้าคอนโด รอแป๊บ
           
หลังวางสายจากเพื่อนสนิท นัมจุนก็เริ่มลงมือทำความสะอาดห้องฆ่าเวลา ของที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยล้วนเป็นของเขา และกว่าครึ่งเป็นของที่ซื้อคู่กับจีมิน ความรู้สึกแน่นที่อกเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เปิดประตูห้องนอนเข้าไป นัมจุนจามติดๆกับหลายที ตุ๊กตาที่นัมจุนเคยให้จีมินหลายตัวถูกวางรวมไว้กับตุ๊กตาไรอันตัวโปรดของเขาบนเตียงเก่าๆ เตียงที่เคยมีจีมินนอนข้างนัมจุน
รู้ตัวอีกที โฮซอกก็มาเคาะประตูเรียกหน้าห้องแล้ว ทั้งคู่โผเข้ากอดกัน ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ไม่มีวันเปลี่ยน
           

นายยังขาดของใช้อะไรอีกไหม กินไรยัง แวะห้างมั้ยโฮซอกพูดขึ้นทำลายความเงียบที่คนข้างตัวสร้าง หลังจากขึ้นรถมานัมจุนก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ทั้งยังเอาแต่นั่งนิ่ง
            ไม่รอเพื่อนรักตอบ โฮซอกเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดรถ นัมจุนเหม่อลอยมองเข้าไปในตัวตึก ห้างนี้เปิด 24 ชม. แถมยังอยู่ใกล้คอนโด เป็นไปไม่ได้เลยที่เขากับจีมินจะไม่เคยมา


ภาพซ้อนปรากฏขึ้นอีกครั้ง จีมินเคยจับมือเขาและลากไปส่วนนู่นส่วนนี่ พาเขาไปเลือกซื้อขนมและของกินที่ตัวเองชอบ ซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารให้เขากิน หรือแม้แต่ตอนใกล้สอบที่ออกมาหาอาหารสำเร็จรูปและกาแฟโต้รุ่งด้วยกัน นัมจุนเดินผ่านโซนขนมเข้าไปส่วนลึกของห้าง ตู้ขายเบียร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเมื่อก่อนมากโชว์หลาอยู่เบื้องหน้า นัมจุนเอื้อมมือไปหยิบเบียร์ยี่ห้อโปรดแต่แล้วก็ชะงักไป เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นจีมินห้ามไว้ นัมจุนสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านไป ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว เขาก็มีสิทธิ์ที่จะซื้อเบียร์ขวดนี้


นายดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะนัมจุน สายตาของนายมีทั้งความเหงาและความเศร้า
ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันไม่มีความรู้สึกพวกนี้
เรื่องมันผ่านมานาน เลิกคิดมากได้แล้ว... ฝันดีเพื่อน
ประโยคสนทนาสั้นๆก่อนแยกย้ายกันไปนอนของเพื่อนรักทำเอานัมจุนได้แต่เถียงในใจ
คิดว่าฉันอยากรู้สึกแบบนี้หรือ คิดว่าฉันไม่อยากลืมหรือ
           

วันต่อมาโฮซอกออกไปทำงานแล้ว เหลือแค่เขากับมินยุนกิแฟนตัวเล็กของเพื่อนรัก เมื่อคืนคงเพราะเขามาถึงตอนดึกๆจึงไม่เจอยุนกิ นัมจุนเหลือบมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาบ่ายๆ เขาหลับไปนานมากคงเพราะเหนื่อยและเจ็ทแล็กด้วย
           
นั่งสินัมจุน โฮซอกทำเผื่อไว้ให้นายตั้งแต่เมื่อเช้านู่นแหนะ
            นัมจุนรู้จักยุนกิมาก่อนแล้วเพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีเหมือนกัน ฟังจากคำบอกเล่าของเพื่อน คนตรงหน้ากลายเป็นนักทำเพลงชื่อดังไปเสียแล้ว
           
เออนี่นัมจุน นายพอมีเวลาว่างบ้างมั้ยล่ะ มาช่วยฉันทำเพลงแบบเมื่อก่อนสิ
            ได้เลยพี่ ตอนนี้ผมยังไม่มีงานทำพอดี
            จริงหรอ ดีมากๆ จะได้ครบ...”
            นัมจุนชะงักมือที่กำลังตักข้าวเข้าปาก
            เอ่อ... ฉันขอโทษ
            ยุนกิไม่ทันคิดว่าคำพูดเมื่อกี้จะไปสะกิดแผลเก่านัมจุน เพราะสมัยเรียน ทีมโปรดิวซ์เพลงมีเขา โฮซอก และนัมจุน ส่วนทีมร้องมีจีมินเป็นหนึ่งในนั้น
            ไม่เป็นไรครับพี่ ผมโอเค ชินแล้ว
            นัมจุนส่งยิ้มมาให้ยุนกิซึ่งดูอย่างไรก็เป็นยิ้มเศร้าเจื่อนๆ ผมชินกับความเหงาแล้ว
           

บ้านของโฮซอกอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเรียนมันทำให้นัมจุนคิดถึงจีมินได้ง่ายขึ้น ป้ายรถเมย์ที่เคยรอขึ้นรถกับจีมิน เขาเคยใส่หูฟังคนละข้างกับจีมินเพื่อรอรถ จีมินบอกว่ามันโรแมนติกมาก ร้านเค้กที่จีมินชอบลากนัมจุนไปกินด้วยบ่อยๆ แต่เพราะนัมจุนไม่ชอบกินของหวานเลยโดนจีมินบ่นบ่อยๆ เก้าอี้ข้างทางที่เป็นสถานที่นัดกันหลังเลิกเรียนของนัมจุนกับจีมิน ใครเลิกก่อนก็จะมารอที่ม้านั่งตัวนี้ ร้านไอศกรีมที่เคยมาฉลองกับจีมินในทุกโอกาส ทั้งยังเป็นที่ที่นัมจุนสารภาพรักกับจีมินอีกด้วย ทุกๆสถานที่ในอดีตมีแต่จีมินกับนัมจุน
           
           

หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่กลับมา ขายาวๆก็พาเจ้าตัวมาหยุดหน้าผับแห่งหนึ่งที่เคยมาฉลองกับเพื่อนๆ นัมจุนเก็บแว่นกันแดดและเปิดประตูเข้าไป เสียงเพลงดังกระฮึ่มทำเอาหูชาไปสักพัก เมื่อปรับตัวได้นัมจุนก็เริ่มสนุกไปกับเพลง นัมจุนสั่งเครื่องดื่มสีสวยหลายแก้ว หวังว่าจะดื่มเพื่อลืมคนตัวเล็ก เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆจนนัมจุนเริ่มเมา เขาเหมือนเห็นจีมินท่ามกลางฝูงคนที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนาน นัมจุนไม่รู้ว่านี่เป็นภาพหลอนอีกหรือไม่ ทั้งวันนี้เขาเห็นภาพจีมินเป็นร้อยๆครั้งแล้ว
           
จีมินที่เขาเห็นเดินตรงมาที่เขา นัมจุนรู้สึกว่าภาพที่เขาเห็นตอนนี้ดูสมจริงกว่าที่เคย อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่อยู่ในเลือดตอนนี้ ยังไม่ให้สมองได้ประมวลผลภาพตรงหน้า ปากกลับไวกว่า นัมจุนเอ่ยเรียกชื่อคนตัวเล็กออกมา
            จีมิน...
            ไง
            ไม่มีภาพไหนที่สามารถส่งเสียงตอบกลับมาได้หรอกนะ...







 TALK : ตอนนี้ขอขอบคุณพี่จัสวัน @justonedegree ค่ะ ช่วยให้คำแนะนำหลายๆอย่างเลย เพราะตามจริงแล้วไม่ถนัดเขียนแนวนี้มาก ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ

2 มกราคม 2560

OS/SF | HPNY (KOOKV)


 
#บังทันวีคลี่ 29 ; POV 



Jungkook x V
writer : Largomorpha












เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับมนุษย์ธรรมดาๆอย่างผมที่ตอนกลางวันเรียนหนังสือ ส่วนตอนกลางคืนทำงานพาร์ทไทม์ ผมทำงานในร้านอาหารกึ่งผับ ปีใหม่ไม่ได้มีความสำคัญกับผมไปมากกว่าเทศกาลๆหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเยอะ ซึ่งอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้ทิปมากขึ้นแลกกับการทำงานล่วงเวลา
ผมลืมตาขึ้นมาในตอนบ่ายๆ กว่าจะลากสังขารกลับมาอพาร์ทเม้นต์ของตัวเองได้ก็ตอนแสงแรกแห่งปีโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า นึกย้อนไปถึงปีก่อนที่ได้พบลูกค้าคนหนึ่ง




เสียงพลุดังแว่วเข้ามาในร้านทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเสิร์ฟเครื่องดื่มสีสดแก่ลูกค้าตรงหน้า
นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมามองหน้าผมพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ทำให้ผมเห็นหน้าลูกค้ารายนี้ชัดเจน

            ขอโทษครับผมกล่าวขอโทษที่ทำหน้าที่บกพร่องไป จังหวะหมุนตัวกลับมือแกร่งก็คว้าที่แขนผม
            จะรีบไปไหนล่ะ มาคุยกันก่อนสิ คุณ...คิมแทฮยองลูกค้าตรงหน้าเหลือบอ่านป้ายชื่อพนักงานของผม

            ไม่ผิดกฎของร้านหากพนักงานจะนั่งบริการลูกค้า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ หากคนตรงหน้ากลับให้ความรู้สึกถูกชะตาด้วยจนผมยอมนั่งลงข้างๆ

            ผมได้รู้ว่าเขาชื่อจอนจองกุก อายุเท่าๆกับผมแต่มีชีวิตที่สุขสบายกว่านั่นทำให้ผมอิจฉาเค้าไม่น้อย จองกุกเป็นคนร่าเริงและคุยสนุก เค้าทำให้ผมยิ้มตามได้ทุกเรื่อง เราผลัดกันเราเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง จนเหมือนเรารู้จักกันมาทั้งชาติ ผมคิดว่ามันคงจะดีถ้าเราได้เป็นเพื่อนกัน
           
จองกุกรอจนผมเลิกงาน จากนั้นเขาก็พาผมออกไปที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำไม่ไกลจากตัวร้านอาหารนั้น เราซื้อรามยอนมากินกันท่ามกลางอากาศหนาว เอนกายลงนอนกับพื้นหญ้า มองดูดาวบนท้องฟ้าด้วยกัน จองกุกมีความรู้ด้านนี้เยอะเลย เค้าเล่าเรื่องดาวแต่ละดวงให้ผมฟัง เป็นเหมือนนิทานหลอกเด็กแต่ผมกลับรู้สึกสนุกมาก


แปลกไหมถ้าเราจะตกหลุมรักคนๆหนึ่งได้ภายในเวลาอันสั้น ผ่านการพูดคุยและเล่าเรื่องราวของกันและกัน ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับเค้าแล้วล่ะ

เรายิ้มให้กัน หัวเราะให้กัน จนผมอยากจะหยุดเวลาตอนนั้นไว้
            และแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้
           
เวลาแห่งการจากลามาถึง
            จองกุก เราจะได้เจอกันอีกมั๊ยผมหลุบตาต่ำลง ถามอีกฝ่ายด้วยความลังเล เนื่องจากสถานะของเรามันแตกต่างกันมากเกินไป การที่เราจะโคจรมาเจอกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยาก ผมรู้ได้จากตอนที่คุยกัน พรุ่งนี้จองกุกก็ต้องไปต่างประเทศแล้ว
            ได้สิ ถ้านายต้องการ จองกุกยิ้มให้ผม มือหนาของอีกฝ่ายประคองหน้าผมขึ้นมา ทำให้ผมต้องช้อนสายตาที่มอง สบตากับร่างหนา
            แน่ใจนะ
            ฉันสัญญา
            จองกุกขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น และจุบพิตที่หน้าผากผม
            ฉันรักนาย




            ผมยกมือขึ้นมาทาบที่อก ก้อนเนื้อข้างในนี้เต้นเป็นจังหวะเร็วทุกครั้งที่นึกถึงจองกุก เหมือนผมเพิ่งได้เจอจองกุกไม่นานทั้งๆที่เวลาผ่านไปครบ 1 ปี ที่จริงก่อนจากกันเราก็ได้แลกคาทกกันเอาไว้ แต่ไม่เคยได้ใช้คุยกันเลย ผมไม่ทักจองกุก จองกุกก็ไม่ทักผม ราวกับว่าเรารอพรหมลิขิตให้ได้เจอกันอีกครั้ง
            ผมเองก็สงสัยว่าจุมพิตที่หน้าผากนั้นมีความหมายว่าอะไร แต่ตอนนั้นผมจำได้เพียงว่าร่างกายของผมไม่ฟังคำสั่ง รู้ตัวอีกทีเราก็แยกกันแล้วจึงไม่มีโอกาสได้ถามออกไป
           

ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำ ออกจากห้องที่ใช้ซุกหัวนอนมาหาอะไรทาน ผมเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ เจอถึงทางเท้า วันแรกของปีเป็นวันหยุดจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก
ตุบ! ไหล่ผมกระแทกเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งเข้า เขาหันมาโค้งขอโทษผมแต่ด้วยความที่ใส่ฮูดสีดำและแมสปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าไอ้เวรนั่น ผมได้แต่สบถอยู่ในใจ
แต่... แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นจริงๆ
ผมมองตามผู้ชายคนนั้น เดินไปประมาณ 10 ก้าวก็หยุดเดิน เขาถอดฮูดและแมสออกแล้วหันกลับมาสบตาผม วินาทีนั้นเหมือนมีคนมาหยุดเวลาเอาไว้
จอนจองกุก คนที่ผมเฝ้าคิดถึงมาทั้งปีกลับมาปรากฏตรงหน้าผม
จองกุก...
จองกุกเดินกลับมาหาผม ระยะทางใกล้นิดเดียวแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน
ว่าไง... หวัดดี ฉันกลับมาแล้วนะ
ผมไม่รู้ว่าตัวเองฉีกยิ้มกว้างแค่ไหน จองกุกก็ยิ้มกว้างตอบผมเช่นกัน
ฉันกลับมาอยู่เกาหลีแล้วล่ะ ว่าแต่นายกำลังจะออกไปไหน
โครก เสียงท้องร้องของผมเป็นคำตอบที่ดีให้จองกุก แต่มันทำให้ผมอายจนแทบมุดดินหนี
"นายคงหิว ไปกันเถอะ
เราเดินเคียงข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร
ว่าแต่นายรู้ที่อยู่ฉันได้ไงจองกุก
ฮ่าๆๆ นายลืมไปแล้วหรอแทฮยอง เมื่อคืนนายก็ทำงานที่ร้านเดิม ฉันแค่เดินตามนายกลับบ้านเอง
อ่า ให้ตายเถอะ ทำไมผมไม่รู้ตัวเลย ถ้าเป็นคนร้ายผมคงไม่รอดแล้วมั้งเนี่ย


เราเดินมาเกือบครึ่งชั่วโมงจองกุกพาผมเดินเข้าร้านหรูร้านหนึ่ง
            นี่นาย จะบ้าหรอผมกระซิบกับจองกุกเสียงเบา ในขณะที่เขาลากผมให้เดินตามพนักงานเข้ามาในร้าน ผมจะไปมีปัญญาจ่ายได้ไง แพงขนาดนี้ กระเป๋าฉีกแน่ ไม่น่าตามนายมาเลยให้ตายเถอะ
            ผมนั่งหน้าบูด จองกุกเป็นคนสั่งอาหารให้ผม ดูเหมือนเค้าจะเลือกแต่เมนูที่ผมชอบ มันทำให้ผมนึกถึงบทสนทนาเมื่อปีที่แล้วได้ ผมเองก็จำได้ว่าจองกุกกินอะไร เราต่างจำอาหารที่อีกฝ่ายชอบได้...
            มีอะไรหรอจองกุกถามขึ้นหลังจากพนักงานรับออร์เดอร์ไปแล้ว
            นายจะบ้ารึไง ฉันไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเหมือนนายนะ นี่มันแพงมากๆๆๆๆๆเลยด้วย
            แล้วใครว่าฉันจะให้นายจ่ายล่ะ
            แล้วนายจะจ่ายให้ฉันด้วยเหตุผลอะไรล่ะ
            ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมีเหตุผลเลย
            .
.
.
.
.
.
.
.
            แต่ถ้านายอยากหาเหตุผลให้กับการกระทำของฉัน ก็ถือซะว่าฉันจีบนายก็แล้วกัน
            หน้าของผมที่คงจะเห่อขึ้นสีแดง จองกุกบ้า พูดออกมาแบบนี้ได้ไงกัน ส่วนเจ้าตัวนั่งจ้องหน้าผมเฉย
            นี่ แทฮยอง นายคิดถึงฉันบ้างมั๊ย
            คิดถึงสิผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม
            ฉันก็เหมือนกัน จองกุกตอบหน้าตาย คนบ้าอะไรไม่อายบ้างหรือ
           
            เราทั้งคู่ต่างเงียบและจัดการอาหารตรงหน้า เมื่อทานเสร็จ จองกุกก็จ่ายเงินไปตามระเบียบ
            จองกุกพาผมมาที่สวนสาธารณะที่เดิม ตอนนี้เป็นช่วงเย็นๆทำให้มีคนพลุกพล่าน ต่างจากวันนั้นที่มีเพียงผมกับจองกุก เราเปลี่ยนจากเดินบนสนามหญ้ามาเดินริมแม่น้ำแทน
           
ผมตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
จองกุก ฉันอยากจะบอกนายตั้งแต่วันนั้นแล้วแต่คิดว่ามันคงเร็วไปเพราะเราพึ่งจะรู้จักกัน แต่นี่ก็ผ่านมาแล้ว 1 ปี ฉันยังรู้สึกเหมือน... ไม่สิ มากกว่าเดิม
.
.
.
.
.
.
.
.
ฉันระจองกุกเอามือมาปิดปากผม
            ให้ฉันได้พูดก่อนสิแทฮยอง
            นายรู้หรอว่าฉันจะพูดอะไร
            ก็เดาได้ไม่ยากนี่ ในเมื่อเรารู้สึกเหมือนกันจองกุกเบนหน้าหันไปมองแม่น้ำข้างๆ
            ผมไม่กล้าเดาสุ่มเพราะไม่อยากให้ความหวังตัวเอง ผมมองไปที่แม่น้ำตามจองกุก
            จองกุกรักแทฮยองนะจู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมา ผมหันขวับกลับมามองจองกุกที่จ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว จองกุกยิ้มแต่ผมกำลังตกใจอยู่ สีหน้าผมตอนนี้คงตลกพิลึก
            แล้วแทฮยองล่ะ รักจองกุกมั๊ย
            อื้อ รักสิ
            เราอาจใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตกหลุมรักคนคนหนึ่ง และใช้เวลาชั่วชีวิตในการจดจำคนคนนั้น
จองกุกคงเป็นของขวัญวันปีใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ผมสินะ








HAPPY NEW YEAR ค่ะ รีดเดอร์ทุกคน


TALK: สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยแต่งฟิคลงครั้งแรกค่ะ ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านจนถึงตอนจบนะคะ ยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก ยังไงก็ช่วยติชมด้วยนะคะ หรือจะตามไปหวีดบังทันด้วยกันก็ได้ค่ะ @haaku__  https://twitter.com/haaku__?s=09
ฝากติดตามฟิคเรื่องต่อๆไปที่จะลงด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ